ธรรมะจากต้นไม
สัตวปา เชน นกเขา นกเคา จักจั่น เรไร สงเสียง ทีไรก็รู เพราะมันบอกลัษณะของมันอยู คนเราปากกับใจไมตรงกัน ไวใจยาก ใหระวัง
เมื่อเขานินทาเรา ตองหยุดนิ่ง พิจารณาดูวา เขาวา อะไรกัน ถาไมเปนจริงก็แลวไป ก็หมดเรื่องกันเทานั้นเอง
ถาเราชนะตัวเอง ก็จะชนะทั้งตนเองและผูอื่นชนะทั้งอารมณ ชนะทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น รส ทั้งโผฐฐัพพะเปนอันวาชนะทั้งหมด
คนไมรู พระพุทธเจาทานสอนใหรู คนรูแลว ไมทําตาม พระพุทธองคไมสอน
พระพุทธองคทานวา สอนตัวอยางไร สอนคนอื่นอยางนั้น ตัวทําอยางไร จึงใหคนอื่นทําอยางนั้น
สาวกของพระพุทธเจาตรัสรูได เพราะเห็นความไมเที่ยง อยาทําสิ่งใดในที่ลับ เพราะกิจในที่ลับมักมีความชั่ว
กาย วาจาของเราก็เชนกัน ถามีผูรักษา มันก็งาม ความชั่วชาลามกสกปรกเกิดขึ้นมาไมได
ความดีความชั่วทั้งหลายมันลวนแตเกิดในหนาที่การงาน ทั้งหลายของเรานั่นเองดีก็เกิดที่ทําดีนั้นเองชั่วก็เกดิ ที่ทําชั่วนั่นเอง
ฉะนั้นอยาไปอิจฉาพยาบาทกันขอสําคัญ ใหทําใจใหเกิด “ตัวพอ” ขึ้นมาธรรมะคือความพอดี
พระพุทธองคสอนใหฟงอยางนี้ ใหความดีเขาไปฝงในใจ แลวความทุกขมันก็ถอนออกไป หางออกไป
คนดีดีอยูที่ไหน? คนดีอยูที่เรา ถาเราดี จะอยูตรงไหนกับใคร ก็ดีทั้งนั้น
ผูที่จะเขาถึงธรรมะ เบื้องตนจะตองทําตนใหเปน คนมีความซื่อสัตยสุจริตอยูเปนประจํา
จะรูธรรม จะเห็นธรรม อยูที่ปฏิบัติ
มีความอาย มีความกลัวเทานี้เองก็เปนธรรมะแล้ว
ที่เราไมเห็นธรรม ก็เพราะตัณหา
คนจะบรรลุธรรมะ จะไดเห็นธรรมะ ตองรูจักวาธรรมะอยูตรงไหนเสียกอน
เมื่อเราปฏิบัติธรรมไมวาอารมณใดจะเกิดขึ้น ก็ชางมันใหปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติอยางสม่ำเสมอ
การกราบ ช่วยแกความถือตัวของเราไดอยางดี
อยาไปมองขางนอก ถาไปยึดขางนอก มันจะลืมตัว มันจะไมเห็นตัว
อยากจะเห็นสิ่งทั้งหลาย ใหเห็นตัวเอง เปนสิ่งจําเปนอยางยิ่ง ที่จะตองเรียนรูที่จะสํารวจ และสอบถามตัวเอง ทานใหแกไขตัวเราเองไมใชไปแกอยางอื่น
การพิจารณาตัดสินผูอื่น จะเพิ่มความหยิ่งทนงตน จงเฝาดูตน เห็นงู แลวหนีงู งูพิษก็ไมตามเรา
ตัววิชชา นี่แหละมันคลอดออกจากตัว อวิชชาตัวรู คลอดจากความไมรู ตัวสะอาด คลอดจากตัวสกปรก มันเปนอยางนี้
พยายามตอสูเอาชนะอวิชชาใหได ดวยการบังคับตัวเองเสมอ นี่เรียกวา “ศีล”
พระพุทธเจาตรัสวา กิเลสทั้งหลายเปนครูของเรา พระพุทธเจาทานไมใหตามกิเลสใหขัดมัน
การปฏิบัติที่แทจริง จะตองมีศีลบริสุทธิ์
อาการบังคับตัวเองใหกําหนดลมหายใจ ขอนั้นเปน “ศีล” การกําหนดลมหายใจและติดตอกันไปจนจิตสงบ ขอนี้เรียกวา “สมาธิ”การพิจารณากําหนดรูลมหายใจวา ไมเที่ยง ทนไดยาก ขอนี้เรียกวา “ปญญา”
เมื่อเกิดกิเลสเครื่องเศราหมอง จงรูทันและเอาชนะมัน โดยปลอยใหมันผานไปเสีย พิจารณาวา อันนี้ก็เปนของ “ไมเที่ยง” “ไมแนนอน” พิจารณาทุกขณะที่มันเกิดขึ้น
นานๆ ไปเราก็เห็นของไมเที่ยงในอารมณทั้งหลายเหลานี้ ความยึดมั่นในความเศราหมองนั้นก็จะนอยลงๆ
กิเลส ยอมตกเปนเครื่องมือของผูมีปญญา กิเลส อาจทําคนธรรมดาใหเปนพระพุทธเจา กิเลส ยอมเปนนายผูทารุณของคนโง กิเลส ยอมทําคนโงใหเปนสัตวเดรัจฉาน
เราทําตามกิเลสมาแลวกี่ปี? ทําไมเราไมปลดปลอย ราคะ โทสะ โมหะ ของเรา
พระพุทธเจาทั้งหลายบําเพ็ญทางจิต ความตรัสรูของพระพุทธเจาทั้งหลายอยูที่รูจิต
ใจจะสงบได ก็ดวยความเห็นที่ถูก
อะไรจะทําใหเราเสียหายไปไมได นอกจากจิตที่คิดผิดของเรา
จิตที่ฝกดีแลว นําความสุขมาให
การฝกจิตใหดี ยอมสําเร็จประโยชน
จิตที่อบรมดีแลว มันจะอบรมของมันเอง
การเฝาดูจิต นี่แหละคือ การปฏิบัติของเรา ซึ่งจะนําไปสูความไมเห็นแกตัวและความสงบสันติ
จิตของคนตามธรรมชาตินั้นไมมีความดีใจเสียใจ ที่มีความดีใจ เสียใจนั้น ไมใชจิต
ธรรมชาติของจิตยอมปลอยวางทุกสิ่งอยูเองแลว โดยตัวของมันเองและไมตองพึ่งพาสิ่งใด
จงมองใหเห็น “ความรู” ทุกชนิด เปนเพียงสุสานของความคิด
อารมณนี้ ธรรมะนี้ มันเกิดที่จิต อารมณนี้แหละ เปนครูสอนเรา ไมหลงอารมณเพราะรูอารมณ ดูจิตก็เห็นอารมณ เมื่อรูจักผิด รูจักถูกแลว ก็พยายามละมัน
การทําความเขาใจใหรูชัดวาทุกสิ่ง มีความเปลี่ยนแปลงอยางเสมอ ไมควรยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย นี่คือ ความรูตามความเปนจริง
ธรรมดาจิตของเรา มันมีทั้งเวลาขยันและขี้เกียจ แตเมื่อทําความเพียรดวยสัจจะ เราตองทําไปเรื่อย
ทานใหปลอยทั้งชอบและไมชอบ อยาไปเกี่ยวของกับมัน แตใหรู มีสติอยู สงบอยู เทานั้นแหละ
การปฏิบัติคือการฝนใจตนเอง การตามใจตนเอง ไมใชแนวทางของพระพุทธเจา ถาปฏิบัติตามความคิดเห็นของเราเอง เราจะไมมีวันรูแจงวา อันใดผิด อันใดถูก ไมมีวัน รูใจตัวเอง และไมมีวันรูจักตนเอง
การปฏิบัติจริงๆ ตองปฏิบัติเมื่อประสบกับอารมณ
การปฏิบัติธรรมเปนสิ่งที่ละเอียด ผูที่กริยานุมนวล สํารวม ปฏิบัติ ไมเปลี่ยนแปลง สม่ำเสมออยูเรื่อยๆ นั่นแหละจึงจะรูจัก มันเกิดอะไรก็ชางมันเถิด ขอแตใหมั่นคงแนวแนเอาไว อยาชวนเซหวั่นไหว
กุญแจ 4 ดอก
รู เฉพาะหนา เห็น ตามเปนจริง เปน ตามนั้น อยู อยางสม่ําเสมอ
การละบาปนี้สําคัญกวาการทําบุญ ไมละบาป ไมละความชั่วแลว จิตไมผองใสหรอก ถาทําบาปแลกบุญ ก็ขาดทุนเรื่อยไป ทําดีไดชั่วไมมีหรอกทําชั่วไดดีก็ไม่มี
สิ่งที่แนนอนไมมี
บางคนก็มาวัดทุกวัน วันพระก็มานั่งหลับตาภาวนา พอกลับไปบานก็ทิ้งเลย ทะเลาะกับลูกกับผัว กับใครตอใคร เขาเขาใจวา เวลานั้นเขาออกจากภาวนาแลว
คนไมรูจัก นึกวาการเดินจงกรม การฟงธรรม การนั่งสมาธิเทานั้น เปนการปฏิบัติ ก็จริงอยู แตมันเปนเปลือกของมัน
ถาเราไมติดในความรัก ความชัง ความสุข ความทุกขเทานั้น ก็เรียกวา เราเดินตามกระแสธรรมสมณะแลว
มีสติคุมครองอยูเสมอ นี่แหละคือสมาธิ การทําสมาธิภาวนา คือการมีสติรอบคอบ และการมีจิตเปนปกติตามธรรมชาติ ในการกระทำ ทุกอิริยาบถ
พระวินัยและศีลธรรมเป็นบันไดอันแข็งแกรง นําไปสูสมาธิอันยิ่ง และปญญาอันยิ่ง
การมีสติและการสํารวมระวัง ในกฎระเบียบตางๆ ใหคุณประโยชนอันใหญ่หลวง ทําใหมีความเปนอยูอยางสงบงาย ไมจําเปนตองพะวงวา จะตองทําตนอยางไร ดังนั้นจึงพนจากการครุนคิด เพราะมีสติดํารงอยูอยางสงบระงับ
เรื่องเวทนานี้ เราจะหนีพนไปไหนไมได เราตองรูทัน
เวทนา ก็สักวา เวทนา สุข ก็สักวา สุข ทุกข ก็สักวา ทุกข
มันเปนของสักวาเทานั้นแหละ แลวจะไปยึดมั่นถือมั่นมันทําไม
อยาไปเชื่อในสิ่งที่เขาวาถูก อยาไปเชื่อในสิ่งที่เขาวาผิด
เชื่อมากมันก็เปนภัย ไมเชื่อมันก็เปนภัย
เมื่อเราชวยเขานั่นแหละ คือชวยตัวเราเอง เมื่อเราดูถูกเขานั่นแหละ คือเราดูถูกตัวเอง เมื่อเราเมตตาเขานั่นแหละ คือเมตตาตัวเอง
เมื่อบวชเขามาแลว ก็ทําตัวเปนพระภิกษุใหมอยูเสมอ
ขณะแหงการปฏิบัติ คือขณะแหงการตรัสรู
กินนอย นอนนอย พูดนอย คือ นักปฏิบัติ กินมาก นอนมาก พูดมาก คือ คนโง
จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติภาวนานั้น ทานทรงสอนใหปลอยวาง
คําที่วาอายนี้เราเห็นวาอายตอบาป อายตอความผิดเทานั้น
อยาไปตัดสินคนอื่น คนเรามีหลายแบบตางๆกัน อยาคอยแตมั่นหมายที่จะเปลี่ยนแปลงใครๆ ไปหมดทุกคน
แตเดิมกระโถนไมมีชื่อ จะเรียกวาอะไรก็ไดทั้งนั้น เพราะความจริงแลวกระโถนไมมี เปนสักแตวาธาตุไดเกาะกุมขึ้นเทานั้น
เปนของสมมุติไมเที่ยงมีแลวหาไม เกิดแลวดับไป รางกายจิตใจ และทรัพยคฤงคารของ มนุษยเหลานั้นเหมือนกัน
นี่น้ํารอน ที่สุดของน้ํารอนอยูที่ไหน คําถามประโยชนนี้ คุณไมตองตอบ แตใหคุณนําไปคิดดวยปญญา คือ การภาวนา มันเปนคําสอนสุดทาย ในคําสอนของอาตมา
ในการปฏิบัติธรรม ควรรักษาจริยวัตรเหมาะสมแกตน ยอมมีผลเทากับสอนผูอื่นดวย
ของที่สืบเนื่อง เพื่อจะเตือนสติในหมูมนุษยทั้งหลาย เขาก็มีอยูอยางนั้น มิไดขาด
เมื่อฉลาดในจิต ก็ยอมฉลาดในอารมณ ก็ฉลาดในโลก
ทําความเขาใจใหรูชัดวา ทุกสิ่งมีความเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ ไมควรยึดมั่นถือมั่นในอะไรเลย นี่คือความรูตามความเปนจริง
ถาคนธรรมดา “เห็น” เขาจะกลายเปนมุนี ถา มุนี “เห็น” เขาจะกายเปนคนธรรมดา
ดูทอนไมนี้ซิ สั้นหรือยาว? สมมุติวา คุณอยากไดไมที่ยาวกวานี้
ไมทอนนี้มันก็สั้น แตถาคุณอยากไดไมสั้นกวานี้ ไมทอนนี้ก็ยาว
จงหาความดี จากคนที่เลว จงหาความเลว จากคนที่ดี
คนที่ไมรูจักสุข ไมรูจักทุกขนั้น ก็จะเห็นความสุขกับทุกขนั้นมันคนละระดับ คนละราคากัน ถาผูรูทั้งหลายรูแลว ทานจะเห็นวา สุขกับทุกขมันมีราคาเทากัน
เมื่อถึงคราวปวยไข เขาโรงพยาบาล เราก็ตองวาหาย ก็เอาตายก็เอา เอาหายอยางเดียวทุกขแน
คงหลงโลก คือ หลงอารมณ คนหลงอารมณ คือ หลงโลก
มรรคผลไมพนสมัย คนโงเทานั้นที่ปฏิเสธวาในพื้นดินไมมีน้ำ แลวไมยอมขุดบอ
พระพุทธเจาทรงสอนวา “อานนทปฏิบัติใหมาก ทําใหมาก แลวจะสิ้นสงสัย”
ปฏิบัติไปเรื่อย มีสติคุมครองอยูเสมอ นี้คือ สมาธิ สมาธิ คือ ปญญา
ทานทั้งหลายอยาทิ้งหลักการประพฤติปฏิบัติ การพูดนอย นอนนอย กินนอย การสงบระงับ
ไมคลุกคลีหมูคณะ การเดินจงกรมเปนประจํา การนั่งสมาธิเปนประจํา
พระวินัย และศีลธรรม เปนบันไดอันแข็งแกรง นําไปสูสมาธิยิ่ง และปญญายิ่ง
ธุดงควัตรทั้งหลายลวนเปนเครื่องชวยเราให ทําลายกิเลสเครื่องเศราหมอง เปนวิธีการที่ทําใหการปฏิบัติของเราเปนไปอยางเรียบงาย
ภิกษุทั้งหลาย วันคืนลวงไป...ลวงไป บัดนี้เธอกําลังทําอะไรอยู
ธรรมะขอนี้นะเธอเขาใจดีหรือยัง พวกคุณทํากิจอันสูงสุดตามที่พระพุทธเจาสอนนั้น เสร็จแลวหรือยัง
ขันติ...ความอดทน อดทนมันเปนแมบทของธรรมทั้งหลายทั้งปวง
ทุกคนจะตองอยูในความอดทนทั้งนั้น อดทน ตองอดทน อดทนใหความดี
การฝกจิตไมเหมือนฝกสัตว จิตนี่เปนของฝกยากแทๆ แตอยาไปทอถอยงายๆ ถามันคิดไปทั่วทิศก็กลั้นใจมันไว พอใจมันจะขาด มันก็คิดอะไรไมออก มันก็วิ่งกลับมาเอง ใหทําไปเถอะ
อุปธิวิเวก กิเลสสงบ อุปธิสงัด ระงับกิเลส คือความเศราหมอง คือ ราคะ โทสะ โมหะวุนวายตางๆ ที่เรียกวากิเลส
ขอใหจําไววา ถึงจะขี้เกียจ ก็ใหพยายามปฏิบัติไป ขยันก็ใหปฏิบัติไป ทุกเวลาและทุกหนทุกแหง นี่เรียกวา การพัฒนาจิต
ภาวนา คือ การพัฒนาใหเห็นที่มันถูกตอง เห็นเปนสิ่งที่ถูกตองเปนที่พอดี แลวมาแตงใจเจาของ
การตั้งใจของผูประพฤติปฏิบัตินี้ ใหเอาชนะตัวเอง ไมตองเอาชนะคนอื่น ใหสอนตัวเอง ไมตองพยายามสอนนคนอื่นใหมากที่สุด
จะตองใหสติมีพรอมอยูเสมอ ทําไมจึงเปนอยางนั้น เพราะมันมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมะอยูทุกเวลา อยูทุกสถานที่ เมื่อเราตั้งใจอยู พิจารณาอยู
สิ่งที่รักษาสมาธิได คือสติ สตินี้เปนธรรม เปนสภาวะธรรมอันหนึ่ง ซึ่งใหธรรมอันอื่นๆ ทั้งหลาย เกิดขึ้นโดยพรอมเพียง สตินี้ก็คือ ชีวิต ถาขาดสติเมื่อใด ก็เหมือนตาย
การปฏิบัตินี้คือ การมาสรางความรูอันหนึ่ง ใหมีกําลังมากกวาความรูที่มีอยูแลว คือ ทําปญญาใหเกิดขึ้นที่จิต ทําญาณใหเกิดขึ้นที่จิต จนมีความสามารถที่จะหยั่งรูกิริยาจิต ภาษาจิต รูอุบายของกิเลสทั้งหลายทั้งปวง ที่เกิดขึ้นมาในจิตนั้น
เมื่อเราเกิดกิเลสเครื่องเศราหมองจงรูทันและเอาชนะมัน โดยปลอยใหมันผานไปเสีย พิจารณาวา อันนี้กเปเปนของ “ไมเที่ยง ไมแนนอน”
พระพุทธเจาตรัสวา กิเลสทั้งหลายเปนครูของเรา พระพุทธเจาทานไมใหตามกิเลส ให้ขัดมัน
สัมมาสมาธิที่ถูกตองนั้น ถึงแมจะมีความสงบไปถึงแคไหน ก็มีความรูตลอดกาล ตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะสมบูรณบริบูรณ
รูตลอดกาล นี้เรียกวา สัมมาสมาธิ
ผูใดมีสติอยูทุกเวลา ผูนั้นก็จะไดฟงธรรมะของพระพุทธเจาอยูตลอดเวลา
มนุษยศาสตรทั้งหลาย มันยิ่งเห็นชัดเจน วามีแตศาสตรที่ไมคมทั้งนั้น
ไมสามารถจะตัดทุกขได มีแตกอใหเกิดทุกข ศาสตรทั้งหลายเหลานั้น เราเห็นวา ถาไมมาขึ้นตอพระพุทธศาสตรแลว มันจะไปไมรอดทั้งนั้น
สูทั้งหลายจงมองดูโลกอันตระการดุจราชรถ ที่คนเขลายอมหมกอยู แตผูรูหาของอยูไม
ธรรมะคืออะไร คือ ทุกสิ่งทุกอยาง ไมมีอะไรที่ไมใชธรรมะ ความรัก ความเกลียดเก็เปนธรรมะ ความสุข ความทุกข ก็เปนธรรมะ ความชอบความไมชอบก็เปนธรรมะ ไมวาจะเปนสิ่งเล็กสิ่งนอยแคไหนก็เปนธรรมะ
จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติภาวนานั้น ทานทรงสอนให ปลอยวาง
อยาแบกถืออะไรใหมันหนัก ทิ้งมันเสีย ความดีก็ทิ้ง ความถูกตองก็ทิ้ง
ธรรมมีอันเดียว เทานี้ไมมีมาก คือจิตของเราที่เห็นชัดแลว มันก็วาง ปลอย หมดแคนั้น
ตัวศาสนา คือ ความสงบระงับ อันเกิดจากความรูเทาในความเปนจริง ในธรรมชาติของความเปนจริงที่เกิดอยู เปนอยู
ใหรูสึกตัวทั่วพรอมอยูตลอดเวลา ใหมีสติอยู ใหเห็นความเกิดดับของกายและใจ แตอยาใหมันมาทําใจใหวุนวาย ใหปลอยวางมันไป ความรักเกิดขึ้นก็ปลอยวางมันไป มันมาจากไหนก็ใหกลับไปที่นั่น
ความโลภเกิดขึ้น ก็ปลอยมันไป ตามมันไป ตามดูวามันอยูที่ไหนแลวตามไปสงมันใหถึงที่ อยาเก็บมันไวสักอยาง
อานาปานสติภาวนา คือ สติจับอยูที่ลมหายใจเขาและหายใจออก
เพราะทุกขอันนี้จะหายไปไดนั้น พระพุทธองคสอนวาใหรูเทาทันมัน จึงจะดับทุกขได
ความดีใจ ความเสียใจ มันเกิดจากพอแมเดียวกัน คือตัณหา ความลุมหลงนั้นเอง
จิตก็เปนผูรับรูอารมณ อารมณก็เปนอารมณ จิตนี้ก็เรียกวาจิต ผูรูทั้งจิตทั้งอารมณนั้นมันเหนือกวาจิต เหนือกวาอารมณไปอีก มันเปนของมันอยางนั้น แลวมันก็มีสิ่ง ที่ซับซอนอยูเสมอ ทานเรียกวา “สติ”
จิตนี้ไมมีอะไรไมเกิดกับใครไมตายกับใครจิตเปนเสรี รุงโรจนโชติการไมมีเรื่องราวตางๆ เขาไปอยูในที่นั้น ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลงสังขารนี่เอง หลงอัตตานี่เอง
ธรรมทั้งหลายเหลานี้ไมใชตัวไมใชบุคคลไมใชเราไมใชเขา พระพุทธเจาทานสอนใหเห็นเปนสักแตวา
ทานสอนวา ธรรมทั้งหลายมันเกิดเพราะเหตุ เมื่อมันจะดับ ก็เพราะเหตุมันดับไปกอน
ธรรมภายในก็ดี ภายนอกก็ดี ลวนเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถาเรามีปญญาแลว มองดูที่ไหน มันก็จะเห็นเปนธรรมะทั้งนั้น
ภาวนาก็เหมือนกับไมทอนเดียว วิปสสนาอยูปลายทอนทางนี้ สมถะอยูปลายทอนทางนั้น ถายกไมทอนนี้ขึ้น ปลายทั้งสองก็จะยกขึ้นดวย
ขัยยะ วัยยัง คือความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขาร เสื่อมไปดังกอนน้ำแข็งที่ละลายเปนน้ำ. เราเกิดมา ก็เกิดเอาความเจ็บ ความแก ความตายมาพรอมกัน
ในเวลานี้เราเรียนอยูกลางธรรมะ จะเดินไปขางหนาก็ถูกธรรมะ จะถอยไปขางหลังก็ถูกธรรมะ ธรรมะทั้งนั้น ถาเรามีสติอยู
อยูในโลกนี้ก็เหมือนอยูในกรงเทานั้นแหละ ไมพนไปจากกรง กรงอะไรเลา กรงคือความแก กรงคือความเจ็บ กรงคือความตาย
เรื่องของศาสนานี้ ก็คือเรื่องใหปลอยตัวออกจากกรงนั่นเอง
ศีลหาประการนี้เปนคุณสมบัติของมนุษยที่แท
พระพุทธเจาทานจึงตรัสวา มนุษยจะเกิดมา เปนมนุษยมันยาก เกิดมาเปนมนุษยแลว จะไดเปน มนุษยที่สมบูรณนี่ก็ยาก มันยากจริงๆ
ถาหากเรามีศีล มีธรรมจริงๆ ทั้งกายทั้งจิตของเราแลว เราจะอยูที่ไหนมันก็สบาย มันมีความสงบ มันมีความระงับ
ทุกขประจําสังขารนี้ ยืนก็เปนทุกข นั่งก็เปนทุกข นอนก็เปนทุกข
อยางนี้เปนทุกขธรรมดา ทุกขประจําสังขาร พระพุทธเจาทานก็มีเวทนาอยางนี้
ทุกขที่ไมธรรมดานั้น คือทุกขที่เรียกวา อุปาทาน เขาไปยึดมั่นถือมั่นไว
อยาไปหมายมั่นมันเลย ทุกขเกิดขึ้นมาเราก็บอกไปเลยวาอันนี้มันก็ไมแน
มันแนอยูตรงไหนเลา มันแตอยูตรงที่ไมแน มันเปนอยูอยางนั้นเอง
เตสํ วูปสโม สุโข ความสงบของสังขารนั้นเปนสุข สงบอะไรละ ก็คือ ถอนอุปาทานออกมาวา เห็นธรรมชาติตามความเปนจริงของมัน
อยาเปนอะไรเลย การเป็น อะไรก็มีแตความทุกขเทานั้นแหละ เราไมมีความจําเปนตองเปนอะไรสักอยาง
เดินไปก็เปนทุกข ถอยกลับ ก็เปนทุกข หยุดอยูก็เปนทุกข ถอยกลับก็ไมถอย หยุดอยูก็ไมหยุด มีอะไรเหลือไหม “ดับ” รูปมันดับ นามมันดับ นี้เรียกวาดับทุกข
เมื่อ เราเกิดมาแลว โยม ก็คือเราตายแลวนั่นแหละ ไอความแกกับความตาย มันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ
ไมมีโคน ปลายก็ไมมี มีปลายก็ตองมีโคน มีแตปลาย โคนไมมีก็ไมได มันเปนอยางนั้น
เมื่อรางกายมันทรุดโทรมไปตามวัย โยมก็ยอมรับมัน ใหมันหลุดไป เฉพาะรางกายเทานั้น เรื่องจิตใจนั้นเปนคนละอยางกัน ก็ทําจิตใหมีกําลัง ใหมีพลังเพราะเราเขาไปเห็นธรรมวา สิ่งทั้งหลายเหลานั้นก็เปนอยางนั้น มัน ตองเปนอยางนั้น
อันนี้แหละ ทั้งกอนที่เรานั่งอยูนี่ ที่เรานอนอยูนี้ ที่มันกําลังทรุดโทรมอยู่นี้ นี่แหละมันคือสัจธรรม
พระพุทธเจาสอนวา ไมมีอะไรยิ่งไปกวาการที่เราเขาใจวา อันนี้ไมใชตัวเรา แตเปนของสมมุติ อันนั้นไมใชของของเรา แตเปนของสมมุติ
เราอยูดวยความอนิจจัง อยูดวยความเปลี่ยนแปลงอยางนี้ รูวามันเปนอยางนี้แลวก็ปลอย เรียกวาการปฏิบัติธรรม ธรรมภายในก็ดี ภายนอกก็ดี ลวนเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปนของไมแนนอน มีความเกิดเปนเบื้องตน มีความแก เปนทามกลาง มีความตายเปนที่สุด เหมือนกันหมด
ความเปนจริงไมมีอะไร ดินก็ดี น้ำก็ดี ลมก็ดี ไฟก็ดี ที่ประกอบกัน เรียกวามนุษยนี้ เปนไปดวย อนิจจัง ทุกข อนัตตา คือ เปนของไมแนนอน เปนของไมยั่งยืน เปนของหมุนเวียน เปลี่ยนแปลงไป อยูอยางนี้
ที่จริงไมมีใครทั้งสิ้น มันเปนสมมติ มีดินมีน้ำมีลมมีไฟเทานั้นแหละ
มันเปนสมบัติของโลก เราอยูนี่ก็ชั่วคราว เมื่อเราไป ก็เปนสมบัติของโลก
ใครมีอะไรไดอะไร ก็เอาไปไมได อยูโลกนี้แหละ
ที่มา : Bitded